น้อยคนนักที่จะรู้ ปุ่มบนรีโมทแอร์ ทำให้แอร์เย็นประหยัดไฟได้อีกด้วย
ส่วนมากเวลาที่เราใช้แอร์ที่บ้าน เราก็จะใช้รีโมทสั่งงานแค่ปุ่มเปิดปิด และปุ่มปรับอุณหภูมิเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆช่างได้ตั้งค่าไว้ให้ตั้งแต่แรกที่มาติดแล้ว พอเมื่อถึงเวลาที่เราเกิดกดปุ่มผิดขึ้นมา ทำให้การตั้งค่าทิ้งไว้นั้นเปลี่ยนไป แต่ที่เราเห็นอยู่นั้นคือ ปุ่มในรีโมทมีเยอะมาก ไม่รู้จะกดปุ่มไหนดี หรือ กดยังไงแอร์ก็ไม่เย็นเท่าเดิม ออกแต่ลม วันนี้เราจะแนะนำวิธีการใช้งานรีโมทแอร์กัน
ถ้าลองสังเกตดูที่รีโมทแอร์ จะมีปุ่มควบคุมง่ายๆที่เขาจะใช้กัน นั่นคือ ปุ่มMode ซึ่งเป็นปุ่มปรับเลือกการทำงานหลัก เมื่อเราได้เลือกระบบการทำงานจากปุ่มนี้แล้ว เครื่องก็จะทำงานตามที่ได้กำหนดเอาไว้อ ย่ า งต่อเนื่อง จนกว่าจะมีการเปลี่ยนโหมดอีกครั้งหนึ่ง
และปุ่มนี้แหละที่เรามักจะพลาดกดกันจนทำให้ค่าเริ่มต้นที่ช่างตั้งไว้เปลี่ยนไป บางครั้งทำให้แอร์ไม่มีความเย็น หรือมีแต่ลมออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เจอกันบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ บางคนถึงกับคิดว่าแอร์เสียแล้วไปตามช่างมาซ่อม เพื่อจะได้พบว่าแอร์ไม่ได้เสีย แต่ตนเองปรับโหมดการทำงานไปเป็นแบบอื่น
ซึ่งโหมดการทำงานของแอร์ในปัจจุบันนั้น จะมีด้วยกันอยู่ 4 โหมด ได้แก่ Auto, Cool, Fan, Dry และอีกหนึ่งโหมดที่เพิ่มเข้ามาสำหรับแอร์รุ่ใหม่ๆก็คือ โหมด Heat เริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหม ว่าแต่ละโหมดทำงานอ ย่ า งไร และต้องใช้ตอนไหนบ้าง ซึ่งจะมีรายละเอียดของแต่ละโหมดดังนี้
1 โหมด Auto
ถ้าเกิดกดปุ่มโหมดแล้วเลือกการทำงานเป็นแบบ Auto (ซึ่งบางรุ่นอาจเรียกว่า โหมด I Feel) แอร์จะจับเซ็นเซอร์ตรวจอุณหภูมิภายในห้อง และสั่งให้เครื่องทำงานตั้งอุณหภูมิ ความเร็วพัดลมโดยอัตโนมัติ การทำงานของโหมดนี้จะสลับกันระหว่างโหมด Cool และ Dry
ยกตัวอ ย่ า งให้เข้าใจง่ายๆเช่น หากตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส (ซึ่งอุณหภูมินี้เป็นอุณหภูมิที่ช่างแนะนำว่าประหยัดไฟที่สุด) แล้วเราเลือกการทำงานเป็นระบบ Auto หากเซ็นเซอร์ของเครื่องตรวจจับได้ว่า อุณหภูมิของห้องสูงขึ้น 26 องศาเซลเซียส แอร์ก็จะทำงานในโหมด Cool เพื่อทำความเย็นให้อุณหภูมิห้องลดลง เมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้แล้ว แอร์ก็จะปรับเป็นโหมด Dry โดยอัตโนมัติ และก็จะสลับการทำงานกันไปแบบนี้ เพื่อรั กษ าอุณหภูมิของห้องตามที่ได้ตั้งไว้
2 โหมด Cool
โหมดนี้จะเป็นโหมดที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะเป็นโหมดให้ความเย็นที่สั่งงานง่ายๆ แค่กดที่โหมด แล้วเลือกการทำงานในโหมด Cool แล้วตั้งระดับอุณหภูมิที่ต้องการไว้ แอร์ก็จะทำงานเพื่อให้ความเย็นอยู่ตลอดเวลา และยังสามารถตั้งระดับแรงลมที่ออกมาจากแอร์ได้ด้วย เปิดให้ลมแอร์สวิงสักหน่อย เท่านี้ก็เย็นทั่วทั้งห้องแล้ว
3 โหมด Dry
สัญลักษณ์ที่แสดงจะเป็นรูปหยดน้ำ โหมดนี้จะช่วยลดความชื้นภายในห้อง เพียงเรากดปุ่มโหมด แล้วเลือกการทำงานในโหมด Dry แอร์ก็จะทำงานในโหมดลดความชื้น แม้ว่าคอมเพรสเซอร์แอร์ที่ติดตั้งอยู่นอกอาคารจะยังทำงานอยู่ แต่พัดลมที่อยู่ในชุดคอยล์เย็นจะทำงานสลับกับหยุดทำงานเป็นช่วงๆ เพื่อดึงความชื้นในอากาศให้กลั่นตัวมาเป็นหยดน้ำให้มากที่สุด แล้วหยดน้ำที่ได้นี้ก้จะถูกปล่อยออกทางท่อน้ำทิ้ง สิ่งที่ต้องบอกกันไว้ก่อนคือ เมื่อตั้งการทำงานเป็นโหมดนี้แล้ว จะไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้
4 โหมด Fan
ให้กดปุ่มโหมดแล้วเลือกการทำงานในโหมด Fan ระบบก็จะตัดการทำงานในส่วนของชุดคอนเด็นซิ่งยูนิตที่อยู่นอกอาคารออกไป จะทำงานอยู่แค่เพียงชุดแฟนคอยล์ หรือคอยล์เย็นในอาคารเท่านั้น โหมดนี้จะไม่สามารถตั้งอุณหภูมิได้ แต่จะยังปรับระดับความเร็วลมได้อยู่ ลมที่ออกมาจากเครื่องจะมีความเย็นอยู่ที่ระดับอุณหภูมิห้อง เพราะการเลือกการทำงานในโหมดนี้ แอร์จะตัดการทำความเย็นในชุดคอนเด็นซิ่งยูนิตออก จึงทำให้คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน และจะไม่มีน้ำ ย า แอร์ไหววนเข้ามายังชุดคอยล์เย็น
อีกอ ย่ า งหนึ่งที่สำคัญคือ โหมดนี้สามารถแก้ปัญหากลิ่นอับที่ออกมาจากแอร์ได้ เพียงแค่ทุกครั้งก่อนที่จะปิดแอร์ประมาณ 15-20 นาที ให้เปลี่ยนการทำงานเป็นโหมด Fan เพื่อช่วยเป่าความชื้นจากแผงคอยล์เย็นด้านใน ก็จะทำให้ลดกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์ได้
5 โหมด Heat
จะเป็นโหมดที่ให้ความร้อน สัญลักษณ์จะเป็นรูปพระอาทิตย์ ให้กดปุ่มโหมดแล้วเลือกการทำงานในโหมด Heat แอร์ก็จะเพิ่มอุณหภูมิเพื่อทำความร้อนภายในห้อง โดยโหมดนี้จะมีเพิ่มเข้ามาในแอร์ที่เป็นรุ่นใหม่ๆ ระดับท็อป ซึ่งมีราคาแพงพอตัว แต่ก็ไม่ได้มีความจำเป็นอะไรกับสภาพอากาศภายในบ้านเราเท่าไหร่นัก
เมื่อทราบถึงการทำงานในแต่ละโหมดแล้ว ก็ทำให้เราสามารถที่จะปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ และไม่จำเป็นต้องใช้งานเพียงโหมดเดียว เพราะการใช้แอร์ได้อ ย่ า งเหมาะสม จะทำให้การใช้ไฟลดลง ค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนก็จะลดลงตามไปด้วย การเลือกซื้อให้เหมาะสมกับการใช้งานก็เหมือนกัน หากเราอยู่ในพื้นที่ที่อากาศไม่ได้หนาวมาก ก็ไม่ต้องโดนกล่อมให้ซื้อแอร์แบบมีระบบ Heat ที่ไม่จำเป็นแก่การใช้งานเลย แถมยังแอบแพงมากกว่าราคาเดิมไปมากโข แม้จะเป็นตัวท็อปแค่ไหน ถ้าไม่ได้ใช้งานก็ไม่ควรซื้อใช่ไหมล่ะ
ขอขอบคุณที่มา Postsod
